top of page

  

"Oh quand je dors"

Franz Liszt

51e4a30c2b9b2fd033b22fcca6694262.jpg
"Oh quand je dors": Projects

Background

แบ่งออกเป็นสองส่วนคือที่มาของบทกวีและที่มาของดนตรี

บทกวีนี้ ฮูโกประพันธ์ขึ้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน คศ. 1839 และเผยแพร่ในปีต่อมาบนหนังสือชื่อ Les rayons et les ombres (Rays and Shadows)

โดยมีแรงบัลดาลใจมาจากความรักของตนเอง กับหญิงสาวชื่อว่า Juliette Druot ซึ่งทั้งสองได้แอบมีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆ ตัวฮูโกเองเป็นนักกวีที่โรแมนติก เขาใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ รวมไปถึงความฝันในทุกๆคืนของเขา ฮูโกเปรียบเทียบความรักของเขากับตำนานความรักอันโด่งดังระหว่างนักปราชญ์ชาวอิตาลีชื่อเพทราก และ

ลอร่า หญิงสาวที่เพทรากพบที่โบสถ์และตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ จนเก็บมาคิดถึงและแต่งบทกวีให้เธอมากถึง 317 บท (อ้างอิงจากหนังสือ Rime Sparse หรือ Petrarch's canzoniere ซึ่งเป็นหนังสือรวบรวมบทกวีเล็กๆที่กระจัดกระจายของเพทรากไว้มากถึง 366 บท) โดยชื่อลอร่านี้อาจไม่ใช่ชื่อจริงๆของหญิงสาวคนนั้น แต่อาจเป็นชื่อที่เพทรากใช้เรียกเธอขึ้นมาเอง โดยที่ไม่เคยรู้จักชื่อจริงของกันและกันมาก่อน

ส่วนดนตรีที่ประพันธ์โดยลิสท์นั้น มีด้วยกันสองฉบับ ฉบับแรกแต่งขึ้นในปี คศ. 1842 หลังจากนั้นอีก 15 ปีจึงได้นำมาปรับแต่งใหม่ให้สั้นลง และการปรับปรุงฉบับใหม่นี้ ทำให้เพลงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในการนำออกแสดง และบันทึกเสียง 

มีข้อสันนิษฐานว่าลิสท์อาจจะแต่งเพลงนี้โดยมีเรื่องราวชีวิตรักของตนเองกับเจ้าหญิง Carolyne von Sayn-Wittgenstein (1819-1887) แห่งโปแลนด์ ซึ่งเป็นนักเขียน เช่นเดียวกับภรรยาเก่าของเขา Countess Marie d'Agoult (1805- 1876) ซึ่งเป็นสตรีสูงศักดิ์ในประเทศฝรั่งเศษ โดยเมื่อลิสท์หย่ากับภรรยาคนแรกในปี 1844 ก็ย้ายไปอยู่เจ้าหญิงทันที จึงอาจเป็นได้ว่าลิสท์รู้จักกับเจ้าหญิงมาก่อนหน้านั้น และอาจเป็นแรงบันดาลใจในงานแต่งบทเพลงนี้ฉบับแรกเมื่อปี 1842 

นอกเหนือจากลิสท์แล้ว ยังมีนักประพันธ์อีกหลายท่านที่นำกลอนบทนี้ไปแต่งเพลง ได้แก่ Georges Bizet (1838-1875), Edouard Lalo (1823-1892), และ Bernard van Dieren (1887-1936)

"Oh quand je dors": About

Oh quand je dors

Franz Liszt

French

Oh! quand je dors, viens auprès de ma couche,

Comme à Pétrarque apparaissait Laura,

Et qu’en passant ton haleine me touche …

Soudain ma bouche

S’entr’ouvrira!

Sur mon front morne où peut-être s’achève

Un songe noir qui trop longtemps dura,

Que ton regard comme un astre se lève …

Et soudain mon rêve

Rayonnera!

Puis sur ma lèvre où voltige une flamme,

Éclair d’amour que Dieu même épura,

Pose un baiser, et d’ange deviens femme …

Soudain mon âme

S’éveillera!

English

Ah, while I sleep, come close to where I lie,

As Laura once appeared to Petrarch,

And let your breath in passing touch me …

At once my lips

Will part!

On my sombre brow, where a dismal dream

That lasted too long now perhaps is ending,

Let your countenance rise like a star …

At once my dream

Will shine!

Then on my lips, where a flame flickers—

A flash of love which God himself has purified—

Place a kiss and be transformed from angel into woman …

At once my soul

Will wake!

Thai

เมื่อยามเอนตัวลงนอน ล่องลอยสู่ห้วงนิทรา

ยามนั้นเองลอร่าปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเพทราค

และลมหายใจอุ่นๆสัมผัสกายกันอย่างแผ่วเบา...


พร้อมกับริมฝีปากของฉันที่คลี่ออกเช่นกลีบกุหลาบ

ในห้วงแห่งความฝัน ฝันหวานสีเทาๆ

คล้ายสุขชั่วนิรันดร์ แต่ก็เบาบางเช่นเมฆหมอก

เมื่อใบหน้าของเธอลอยขึ้นมาราวกับแสงดาว

เมื่อนั้น.....ภาพฝันของฉันพลันสุขสว่าง

บนริมฝีปากอิ่ม เร่าร้อนดั่งเปลวไฟเล็กๆเต้นระบำ

ประกายแห่งไฟชำระอันบริสุทธ์

ประทับจุมพิตให้เทพธิดาน้อยๆกลายเป็นหญิงสาวเต็มตัว

ทันใด....จิตวิญญาณของฉันพลันตื่นขึ้น

"Oh quand je dors": List
15 Top Selling Benjamin Moore Paint Colo

The Commonality

อีกหนึ่งผลงานชื่อดังจาก ฟรานซ์ ลิสท์ (Franz Liszt) และกวีชื่อดัง วิคเตอร์ ฮูโก (Victor Hugo) ที่ผสมผสานเรื่องราวความรักจากมุมของของตนเองลงในบทเพลง Oh quand je dors นี้

ผ่านตัวโน้ตและภาษาอันงดงามออกมาได้อย่างลงตัว

สำหรับ The Commonality บทนี้ ผู้วิจัยต้องการจะสื่อสารบทเพลงในมุมมองของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักคนละบทกับฮูโกและลิสท์ แต่ยังต้องการที่จะสื่อสารผ่านรูปแบบเดิม คือดนตรีคลาสสิก โดยในโปรเจคนี้ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับนักดนตรีรับเชิญอีกสองท่าน ได้แก่ พี่มอ

(มรกต เชิดชูงาม) ซึ่งเป็นผู้เรียบเรียงบทเพลงขึ้นใหม่สำหรับคอนเสิร์ตในครั้งนี้ รวมถึงยังให้เกียรติบรรเลงเปียโนด้วยตนเองอีกด้วย และอีกท่านคือ เจ (ณัฐวุฒิ สังฆัสโร) Principal Double Bass จากวง RBSO หรือวง Royal Bangkok Symphonic Oechestra ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่เล่น

วงแชมเบอร์ด้วยกันมานาน โดยสาเหตุที่อยากเล่นกับนักดนตรีสองท่านนี้ นอกจากเล็งเห็นถึงฝีมือการบรรเลงที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังชื่นชอบในวิธีการถ่ายทอดความรู้สึกผ่านบทเพลงของทั้งสองท่านอีกด้วย ทำให้อยากมีโอกาสได้แลกเปลี่ยน และหาประสบการณ์จากการทำงานกับทั้งสองท่าน

เพื่อนำไปพัฒนาตนเองได้ในภายภาคหน้า

อย่างที่ได้เกริ่นไปข้างต้นว่าบทเพลงนี้เกี่ยวกับความรัก ซึ่งก็เป็นความรักที่ไม่ค่อยราบรื่น

มีทั้งไม่สมหวัง หรือเป็นความรักที่ต้องหลบๆซ่อนๆ 

ส่วนในฉบับนี้ พวกเราทั้งสามคนก็จะมานำเสนอความรักในรูปแบบของตนเอง ผสมผสานและถ่ายทอดออกมา ผ่านการเรียบเรียงของพี่มรกตที่ทำให้ส่วนตัวผู้ร้องรู้สึกว่าเสียงดับเบิลเบสที่พี่มรกตได้เพิ่มเข้ามานั้นแทนภาพคนรัก และเรื่องราวที่มีความสุขในห้วงจิตนาการ จากการที่เสียงดับเบิลเบสเป็นเสียงแรกที่เริ่มบรรเลง เหมือนฉายภาพขึ้นมาเพื่อเป็นจุดเริ่มต้น ส่วนเสียงเปียโนในตอนต้นแทนสภาวะของการหลับไหล ตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน โดยการค้างเสียงคอร์ดต่อๆกัน แล้วค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามสภาวะความรู้สึกของหญิงสาว ที่ถ่ายทอดผ่านเสียงโซปราโน ซึ่งโดยส่วนตัวมีความรู้สึกว่าหญิงสาวอยู่สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น บางครั้งเหมือนรู้ตัว บางครั้งเหมือนสับสน คิดไปว่าความฝันคือความจริง ทำให้บทเพลงมีหลากหลายช่วงอารมณ์ เปลี่ยนไปตามความรู้สึกนึกคิดและภาพฝันของหญิงสาว ณ เวลานั้น

"Oh quand je dors": About

Interpretation

The Commonality บทนี้ตั้งใจจะนำเสนอหัวใจหลักของบทเพลงซึ่งก็คือความรักที่ไม่ค่อยสมหวัง ไม่ว่าจะเป็น รักแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แอบรักแต่เขาไม่รู้ หรือความรักที่ผิดที่ผิดเวลา ใดๆก็ตาม โดยจะนำเสนอผ่านมุมของของพวกเราทั้งสามคน ผสมผสานเป็นบทเพลง Oh quand je dors ในฉบับใหม่ เช่นเดียวกับที่ลิสท์และฮูโกได้เคยทำร่วมกันไว้ The Commonality บทนี้ทำให้ตัวผู้วิจัยเล็งเห็นถึงเสน่ห์อีกด้านของดนตรี ที่สามารถรวมผู้คนเอาไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยกันด้วยความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เสมือนการนำอัตลักษณ์ของแต่ละคนมาสร้างเป็นสิ่งใหม่ได้อย่างสวยงามและน่าทึ่ง 

สำหรับในส่วนต่อไปนี้ผู้วิจัยต้องการนำเสนอการตีความในมุมมองของตัวเองเกี่ยวกับบทเพลงนี้ ในส่วนของเพื่อนร่วมวงอีกสองท่านจะได้รับชมกันผ่านวีดีโอด้านล่างนี้นะคะ

"Oh quand je dors": Text
OQJD 1.jpg

ในตอนต้นเพลงเริ่มด้วยเสียงดับเบิลเบส ทำให้เห็นภาพของคนรักขึ้นมาในฝัน และเสียงเปียโนแทนสภาวะของการหลับไหลอยู่ในห้วงภวังค์ ด้วยการใช้คอร์ดที่เคลื่อนไปช้าๆ เหมือนกำลังดำดิ่งลงสู่ภาพฝัน ส่วนตัวผู้วิจัยเองไม่ได้มีประสบการณ์โดยตรงที่จะบอกได้ว่าภาพในฝันนั้น เป็นเรื่องราวที่เคยมีความสุขในอดีต เป็นความรักที่ต้องเก็บซ่อนไว้ หรือเป็นรักที่คิดไปเองแค่ฝ่ายเดียว แต่ในตอนที่ร้องเพลงนี้ ตัวเองรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังซักเรื่องนึง ที่เต็มไปด้วยความสับสนของหญิงสาว ระหว่างความฝันและความจริง บางครั้งเหมือนรู้สึกตัวว่าฝัน แต่บางครั้งก็ถลำลึกไปจนคิดว่าภาพในฝันนั้นต่างหากที่เป็นความจริง

"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 1.jpg

ห้องที่ 6-7 ดับเบิลเบสที่แทนภาพฝันเล่นโน้ตคล้ายๆกัน จาก C#-B เป็น C-B คล้ายเวลาเห็นภาพช็อตในทีวี ทำให้เหมือนเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังฝัน ย้ำกับตัวเองว่ากำลังฝัน และในห้องที่ 8 จึงค่อยเข้าสู่ Tonic ของคีย์ ซึ่งถ้าอิงตาม Key characteristics จะนิยามคีย์ E Major ว่าเป็นคีย์แห่งความสุขแต่ไม่สามารถเติมเต็มได้ (Laughing pleasure and not yet complete, full delight lies in E Major.) เหมือนกับความสุขที่อยู่เพียงแค่ในความฝัน และส่วนตัวรู้สึกว่าเหมือนเป็นสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น รู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ และหลังจากนั้นในห้องที่ 9-18 เหมือนคิดกับตัวเองว่าเรากำลังฝัน 

"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 2.jpg
"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 2.jpg

เคยเป็นไหมที่คิดอะไรเพลินๆตอนนอน แล้วไม่รู้ตัวว่าหลับไปตอนไหน ในห้องที่ 19 นี้เสียงดับเบิลเบสกลับมาอีกครั้ง และเล่นคู่กันไปกับนักร้องตลอดจนถึงห้องที่ 28 ราวกับว่าหญิงสาวได้ดำดึ่งลงสู่ห้วงแห่งความฝันเพื่อพบกับคนรักของเธออีกครั้ง

"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 3.jpg
"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 4.jpg

ในห้องที่ 29-34 ดับเบิลเบสบรรเลงทำนองหลักของเพลงคู่ไปกับเปียโน ให้ความรู้สึกเหมือน
ล่องลอยอยู่ในความฝัน จนมาถึงห้องที่ 35 หญิงสาวเริ่มสับสนอีกครั้งและพยามบอกตัวเองว่านี่เป็นเพียงความฝันที่บางเบาคล้ายเมฆหมอกก่อนที่จะหลับฝันอีกครั้ง เมื่อเสียงดับเบิลเบสกลับเข้ามาเป็นแนวหลักในห้องที่ 42

"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 4.jpg

เปลี่ยนจากคีย์ E Major เป็น F Major เหมือนกำลังถลำลึกลงไปสู่ความฝันมากขึ้นเรื่อยๆ

"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 5.jpg

จนมาถึงห้องที่ 55 ซึ่งเป็นท่อนคาเดนซาของดับเบิลเบส แทนการปล่อยให้ความฝันมีอิทธิพลกับจิตใจอย่างมาก จนไม่สามารถแยกความฝันออกจากความจริงได้

"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 5.jpg

กลับมาที่ทำนองหลักอีกครั้งในห้องที่ 57 ต่างกันที่ครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่คิดว่าความฝันนั้นคือเรื่องจริงไปเสียแล้ว ด้วยเสียงดับเบิลเบสที่บรรเลงสลับรับกับเสียงร้อง เหมือนได้พบกันอีกครั้ง ได้อยู่ด้วยกันจริงๆ และประกอบกับเปียโนที่ให้ความรู้สึกเบาบาง ล่องลอยเหมือนฝัน ดำเนินไปเรื่อยๆด้วยความอิ่มเอมจนถึงห้องที่ 72

"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 7.jpg

หญิงสาวดำดิ่งอยู่ในความฝันที่คิดไปว่าเป็นความจริง จนมาถึงห้องที่ 73 เนื้อเพลงแปลว่า "ทันใดนั้นจิตวิญญาณของฉันพลันตื่นขึ้น" ก่อนจะเปลี่ยนจากทำนองหลักเข้าสู่ทำนองใหม่ในห้องที่ 75 ซึ่งจากการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องของความฝันในโปรเจคที่แล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องความลับของการจดจำความฝัน เพราะในบางครั้งสมองก็ช่วยเราจัดการเรื่องที่ค้างคาให้เสร็จในตอนที่เราหลับ หรือหาความตอบในสิ่งที่เราค้างคาใจจากชีวิตประจำวัน ในบางครั้ง เราก็จะได้พบประสบการณ์หรือความรู้สึกที่ไม่เคยพบมาก่อนจากความฝัน และเมื่อเราตื่นขึ้นมา ไม่ว่าเราจะจดจำความฝันนั้นได้หรือไม่ แต่จิตใต้สำนึกของเราก็ได้บันทึกความรู้สึกนั้นไปแล้วตลอดกาล

"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 7.jpg

เมื่อเปลี่ยนจากทำนองหลักมาเป็นทำนองใหม่ในห้องที่ 75 และมีการร้องซ้ำสองครั้ง โดยมีการใช้คู่ 6 Major ที่ท้ายประโยค แทนการโหยหาบางสิ่ง ส่วนตัวผู้วิจัยรู้สึกว่า การซ้ำเนื้อร้องและทำนองส่วนนี้ หมายถึงการได้สัมผัสความรู้สึกบางอย่างในความฝัน และในตอนที่ตื่นขึ้น ความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่ด้วย จากการจบประโยคเพลงที่โน้ต Tonic ในเสียงร้อง แสดงถึงการกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง

"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 7.jpg

ห้องที่ 79-83 เปียโนและดับเบิลเบสเล่นทำนองที่เป็น Variation ของห้องที่ 6-7 เหมือนกับภาพความฝันที่ขาดๆหายๆ ปะปนกับการเริ่มมีความรู้สึกตัว

"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 8.jpg
"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 8.jpg

เสียงร้องกลับมาอีกครั้งในห้องที่ 83 เนื้อเพลงมีความหมายว่า "กลับมาเถอะ" และในประโยคสุดท้ายแปลว่า "เมื่อลอร่าปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเพทราก" เหมือนกับการบอกว่าอยากกลับไปหลับฝันเพื่อจะได้พบผู้เป็นที่รักอีกครั้ง ประกอบกับเสียงดับเบิลเบสที่เว้นระยะห่างออกไปเรื่อยๆ จนมาบรรจบกันที่โน้ตตัว G# เป็น Unison ร่วมกับเสียงร้อง

"Oh quand je dors": Welcome
OQJD 8.jpg

สองห้องสุดท้ายย้ำที่ Tonic ด้วยเสียงดับเบิลเบส เสมือนการย้ำว่าทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน เพื่อสรุปจบให้กับบทเพลง

"Oh quand je dors": Welcome

Oh quand je dors

by Franz Liszt

"Oh quand je dors": Text
All Videos
Watch Now
"Oh quand je dors": Videos

เมื่อศิลปินมีความรัก ก็จะมอบหัวใจให้ความรักนั้น

เฉกเช่นที่มอบให้กับศิลปะ

และเมื่อความรู้สึกนั้นเอ่อล้นออกมาเป็นบทเพลง

คุณจะสัมผัสถึงความรักนั้นได้

ตั้งแต่เริ่มบทเพลง ...

บทกวีที่เขียนออกมาด้วยความอ่อนไหว

มักจะซ่อนความลับเอาไว้

ทุกคำ...จึงเป็นสัญลักษณ์เฉพาะ

จากประสบการณ์อันลึกซึ้งของแต่ละบุคคล

แต่การปิดบังเหล่านี้จะถูกเผยแสดงออกมาผ่านเสียงดนตรี

ในทุกๆอณูของบทเพลงอย่างชัดแจ้ง

ความลับ...จึงเป็นเสน่ห์ของการตีความผ่านบทเพลง

และเมื่อใดที่บรรเลงก็อยากให้บรรเลงด้วยความหลงไหล

ในห้วงอารมณ์นั้นๆเสมอ

                                                        มรกต เชิดชูงาม

"Oh quand je dors": Text

จากเดิมที่ฟรานซ์ ลิสซ์ทำไว้นั้นสวยงามมากอยู่แล้ว

แต่เมื่อมีเสียงดับเบิลเบสเข้ามา เหมือนเราได้ดูหนังสามมิติ

ความรู้สึก และเรื่องราวต่างๆก็แจ่มชัดขึ้น

ทำให้บทเพลงสวยงามมากขึ้นไปอีก

                                                    ณัฐวุฒิ สังฆัสโร

"Oh quand je dors": Text

Bibliography

51e4a30c2b9b2fd033b22fcca6694262.jpg

John Glenn Paton > Oh quad her dos > poetic background 

540096fa24540492ab31cdf222263925_edited.

Florida State University Libraries > Franz Liszt's Songs on Poems by Victor Hugo > Shin-Young Park

unnamed.jpg

Britannica > Italian poet > Petrarch

"Oh quand je dors": Reviews
bottom of page